Nappily Ever After: ผมใหม่ หัวใจเดิม

Nappily Ever After: ผมใหม่ หัวใจเดิม

พล็อต

Nappily Ever After เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ดราม่าอเมริกันปี 2018 กำกับโดยไซรัส นาวราสเตห์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันในปี 2000 โดยคาร์ลา แฮนกิน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Nappily Ever After: Sexiest Hair You'll Ever Have, or Why Black Women Love Good Hair" ในบางประเทศ เรื่องราวหมุนรอบตัวไวโอเล็ต โจนส์ โปรดิวเซอร์ข่าวโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จและมั่นใจ รับบทโดยซานา เลเธิน ภายนอก ไวโอเล็ตดูเหมือนมีทุกอย่าง เธอเป็นโปรดิวเซอร์โทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการเคารพในช่วงปลายอายุ 40 มีครอบครัวที่สวยงาม สามีที่รัก และลูกสาวสองคนที่น่ารัก อย่างไรก็ตาม ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ขัดเกลาของเธอ ไวโอเล็ตต้องดิ้นรนกับแรงกดดันและความคาดหวังทางสังคมที่กำหนดว่าผู้หญิงผิวดำควรมีรูปร่างหน้าตาและประพฤติตนอย่างไร ผมของเธอโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ของเธอและเป็นแหล่งของความวิตกกังวลอย่างมาก ชีวิตของไวโอเล็ตพลิกผันเมื่อเธอประสบอุบัติเหตุที่ร้านทำผมหลังจากไปเยี่ยมสไตลิสต์ที่ไม่มีความสามารถซึ่งทำให้ผมร่วงอย่างรุนแรง เหตุการณ์ประหลาดนี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ และไวโอเล็ตเริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เธอคิดว่ารู้เกี่ยวกับตัวเอง เมื่อรู้สึกเหมือนอยู่บนทางแยก ไวโอเล็ตถูกบังคับให้ประเมินลำดับความสำคัญของเธอใหม่ การแต่งงาน งาน และที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกของตนเอง ขณะที่ไวโอเล็ตคลี่คลายวิกฤตส่วนตัวของเธอ เธอได้พบกับตัวละครชาร์ลี (รับบทโดยริกกี้ วิทเทิล) ช่างตัดผมที่มีเสน่ห์และมีอิสระซึ่งกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ของเธอ ชาร์ลีเป็นคนที่มีอุปนิสัยใจคอดี มีท่าทีถ่อมตน และมีความหลงใหลในงานฝีมือของเขา ชาร์ลีแตกต่างจากช่างตัดผมดั้งเดิมที่ไวโอเล็ตคุ้นเคยตรงที่เขาไม่ตัดสินเธอหรือพยายามให้เธอเข้ากับแม่พิมพ์ใดๆ เขาฟังเธอและให้คำแนะนำที่ชาญฉลาดซึ่งกระตุ้นให้ไวโอเล็ตหลุดพ้นจากแรงกดดันทางสังคมที่เธอทนมานาน ภายใต้การชี้นำของชาร์ลี ไวโอเล็ตเริ่มสำรวจด้านที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น โอบรับผมสั้นที่เป็นธรรมชาติ ไวโอเล็ตพบอิสระจากการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการมีผมยาวและจัดแต่งทรงผม ขณะที่เธอเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิต ไวโอเล็ตเริ่มค้นพบสิ่งต่างๆ ที่นำความสุขและความรู้สึกเติมเต็มมาให้เธอก่อนที่ความคาดหวังของสังคมและความกดดันของงานที่ต้องทำจะเข้ามาครอบงำ เมื่อไวโอเล็ตสนิทกับชาร์ลีมากขึ้น พวกเขาจะพูดคุยกันเกี่ยวกับอัตลักษณ์ ครอบครัว และการค้นพบตนเอง ความสัมพันธ์ของไวโอเล็ตกับทิปปี้สามีของเธอ (รับบทโดยเออร์นี่ ฮัดสัน) ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเช่นกัน แม้ว่าในตอนแรกทิปปี้จะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจตัดผมของไวโอเล็ต แต่ในที่สุดทิปปี้ก็ยอมรับและสนับสนุนรูปลักษณ์ใหม่ของเธอและการเดินทางสู่การยอมรับตนเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างอัตลักษณ์และความคาดหวังของสังคม โดยแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ผู้หญิงผิวดำต้องเผชิญโดยเฉพาะ และวิธีที่พวกเธอซึมซับประสบการณ์และนำเสนอตัวเองสู่สายตาชาวโลก ธีมนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งในบริบทของเส้นผม ซึ่งมักใช้เป็นตัวแทนสำหรับรูปลักษณ์และความงามโดยรวมของผู้หญิง เมื่อเรื่องราวของไวโอเล็ตคลี่คลาย ภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำเสนอความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของเธอกับครอบครัวอย่างละเอียด การโต้ตอบของไวโอเล็ตกับลูกสาวของเธอให้แง่มุมที่กินใจถึงวิธีที่ผู้หญิงทั้งสนับสนุนและกดดันซึ่งกันและกัน ในท้ายที่สุด ไวโอเล็ตก็ก้าวออกจากเส้นทางของเธอด้วยความรู้สึกถึงจุดมุ่งหมายที่ได้รับการฟื้นฟูและความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของเธอ การถ่ายทำภาพยนตร์ใน Nappily Ever After จับภาพแก่นแท้ที่อบอุ่นและน่าดึงดูดใจของร้านตัดผม ซึ่งการสนทนาระหว่างชาร์ลีและไวโอเล็ตเกิดขึ้น ดนตรีประกอบภาพยนตร์ผสมผสานองค์ประกอบของแจ๊สและอาร์แอนด์บีอย่างละเอียด ซึ่งช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและชวนคิดถึงของร้านตัดผม โดยสรุป Nappily Ever After เป็นภาพยนตร์ที่อบอุ่นหัวใจและกระตุ้นความคิดเกี่ยวกับการค้นพบตนเองและการแสวงหาความสุข ภาพยนตร์เรื่องนี้เฉลิมฉลองความซับซ้อนของประสบการณ์ของผู้หญิงผิวดำ และวิธีที่ความคาดหวังของสังคมสามารถรวมและแบ่งแยกผู้หญิงได้ ด้วยซานา เลเธินและริกกี้ วิทเทิลที่มอบการแสดงที่น่าจดจำ Nappily Ever After บอกเล่าเรื่องราวที่น่าติดตามและเป็นส่วนตัวอย่างลึกซึ้ง ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ชมกลับมาตรวจสอบความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับอัตลักษณ์และจุดประสงค์

Nappily Ever After: ผมใหม่ หัวใจเดิม screenshot 1
Nappily Ever After: ผมใหม่ หัวใจเดิม screenshot 2
Nappily Ever After: ผมใหม่ หัวใจเดิม screenshot 3

วิจารณ์