ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน 2
พล็อต
ในฐานะภาคต่อของการรีบูตแฟรนไชส์สไปเดอร์แมนในปี 2012 เรื่อง "ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน 2" เจาะลึกถึงความซับซ้อนในชีวิตของตัวเอกในฐานะทั้งซูเปอร์ฮีโร่และวัยรุ่น ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องต่อจากภาคแรก โดยปีเตอร์ พาร์คเกอร์ (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) พยายามที่จะรักษาสมดุลระหว่างสองอัตลักษณ์ของเขา เมื่อใกล้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลาย ปีเตอร์ต้องเลือกระหว่างความรับผิดชอบในฐานะสไปเดอร์แมนกับความปรารถนาที่จะใช้เวลากับ เกวน สเตซี่ (เอ็มมา สโตน) คนรักของเขา อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกทดสอบเมื่อ นอร์แมน ออสบอร์น (คริส คูเปอร์) ลุงของเกวน เริ่มไม่มั่นคงและเริ่มคุกคามเมือง ในขณะเดียวกัน แฮร์รี่ ออสบอร์น (เดน เดอฮาน) เพื่อนของปีเตอร์ กลับจากต่างประเทศ โดยมีความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งต่อสไปเดอร์แมนเนื่องจากการถูกทรยศจากพ่อของเขา เมื่อความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแฮร์รี่และปีเตอร์ อดีตเพื่อนทั้งสองพบว่าตัวเองอยู่คนละฝั่งของความขัดแย้ง เมื่อสไปเดอร์แมนเผชิญหน้ากับเหล่าวายร้ายต่างๆ รวมถึง อิเล็กโทร (เจมี ฟ็อกซ์) อดีตวิศวกรไฟฟ้าที่กลายเป็นศัตรูผู้มีพลังเหนือมนุษย์ เขายังต้องเผชิญหน้ากับความลับดำมืดจากอดีตที่คุกคามที่จะทำลายทุกสิ่งที่เขารัก จุดไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างสไปเดอร์แมนและอิเล็กโทร โดยมีฉากหลังเป็นแมนฮัตตันที่ถูกน้ำท่วม ตลอดทั้งเรื่อง การต่อสู้ของปีเตอร์กับอัตลักษณ์ของเขาในฐานะทั้งสไปเดอร์แมนและปีเตอร์ พาร์คเกอร์ นั้นสัมผัสได้จริง ทำให้เรื่องราวมีความลึกซึ้งและสะเทือนอารมณ์ นักแสดงสมทบก็แสดงได้อย่างน่าประทับใจเช่นกัน โดยมีผลงานที่โดดเด่นจาก แซลลี ฟิลด์ ในบท ป้าเมย์ และ เฟลิซิตี้ โจนส์ ในบท รูธ นักวิทยาศาสตร์ที่ชาญฉลาดที่เข้าไปพัวพันในใยของสไปเดอร์แมน ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน 2 ผสมผสานแอ็คชั่น ดราม่า และอารมณ์ขันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่จะทำให้แฟน ๆ ของแฟรนไชส์นั่งไม่ติดเบาะ ด้วยตัวละครที่น่าจดจำ เทคนิคพิเศษที่น่าทึ่ง และการสำรวจประเด็นต่างๆ เช่น อัตลักษณ์ ความรับผิดชอบ และผลที่ตามมาของอำนาจ ภาคต่อนี้จะสร้างความพึงพอใจให้กับแฟน ๆ ทั้งเก่าและใหม่อย่างแน่นอน